วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แม่นาค พระขโนง

ภาพวาดจากนิมิตของพระอาจารย์หนู วัดสุทธาราม(วัดพระฉิม) ตอนที่พระอาจารย์อาพาธหนักนอนอยู่โรงพยาบาล ย่านาค ได้ไปช่วยรักษา จนท่านหาย ตั้งแต่นั้นมา พระอาจารย์ก็วาดภาพย่านาค เก็บไว้ที่พิพิทธภัณฑ์ ผลงานปฏิมากรรม ของท่านที่วัดฯเรื่องราวของแม่นาคพระโขนงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมานานแล้ว เพราะมีหลักฐานว่าในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีคนรู้จักแม่นาคพระโขนงมากกว่าบุคคลสำคัญของบ้านเมืองเสียด้วยซ้ำที่กล่าวดังนี้ ก็เนื่องจาก...สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเล่าให้หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิสกุล ฟังว่าในสมัยที่พระองค์ท่านยังเป็นนายทหารประจำอยู่ในพระบรมมหาราชวังนั้นมีเจ้าพี่เจ้าน้องมาประทับคุยด้วยอยู่ใกล้วังกับประตูบ่อยๆ ทรงเห็นมีคนเข้าออกประตูวังเนืองแน่นอยู่เสมอ ก็ทรงคิดกันว่าน่าจะทดลอง ความรู้คนเหล่านั้นดูจึงทรงจดชื่อบุคคล ๔ คนคือ...๑. ท่านขรัวโต (สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี วัดระฆัง)๒. พระพุทธยอดฟ้า (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรัชกาลที่ ๑)๓. จำไม่ได้ว่าใคร๔. อีนาคพระโขนงแล้วให้คน ไปคอยถามผู้ที่เข้าออกประตูวังทุกคนว่า ตามรายชื่อทั้ง ๔ คนนั้น รู้จักใครบ้างความมีชื่อเสียงของแม่นาคได้ทำให้วัดมหาบุศย์ ริมคลองประเวศบุรีรัมย์ แขวงพระโขนง เขตพระโขนง กทม. พลอยเป็นที่รู้จักของคนทั้งหลายด้วย ในฐานะเป็นวัดที่ฝังศพแม่นาควัดมหาบุศย์นี้ พระศรีสมโภชน์ (พระศรีสมโพธิ) เจ้าคณะวัดสุวรรณฯ เป็นผู้สร้าง ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๒ ในขณะที่ท่านยังเป็นพระมหาบุศย์เรื่องราวของแม่นาคมีทั้งที่เป็นนิยายและภาพยนตร์ บุคคลแรกที่ทำให้ "แม่นาคพระโขนง" โด่งดังขึ้นมา ก็คือ...สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงษ์ พระองค์ท่านทรงนำเรื่อง 'อีนาคพระโขนง' ออกแสดงเป็นละครเวทีที่โรงละครปรีดาลัยจนเกรียวกราวได้รับการต้อนรับจากดูเป็นอย่างมาก จนต้องแสดงซ้ำอยู่ถึง ๒๔ คืน ในนิยาย กล่าวถึงแม่นาคว่า.....ที่พระโขนง มีเศรษฐีสองสามีภรรยาชื่อตามั่นกับยายมี (หมี) ทั้งสองมีลูกสาวที่สวยที่สุดในย่านพระโขนง จึงมีหนุ่มๆมาติดพันหลายคน มากก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้นแต่เพราะหนุ่มมากชอบประพฤติกรรมตัวเป็นนักเลงโต ตามั่นจึงพยายามกีดกันและตัดการหมั้นทองนาคให้กับเสี่ยย้งทองนาคจึงตัดสินใจหนีตามหนุ่มมาก ในวันที่เสี่ยย้งยกขบวนขันหมากมา หลังจากได้ทองนาคมาเป็นภรรยา มากก็กลับตัวเป็นคนดี ขยันขันแข็งทำมาหากิน ทั้งสองจึงอยู่กันอย่างมีความสุข ต่อมาทองนาคตั้งท้อง ก็พอดีมากถูกเกณฑ์ทหาร มากต้องไปเป็นทหาร จึงฝากลุงกับป้าชื่อตาหอยกับยายหมาให้ช่วยดูแลทองนาค(เพราะบิดามารดาของมากเสียไปแล้ว จึงต้องมาฝากลุงกับป้าให้ช่วยดูแลภรรยา) ตาหอยยายหมาเป็นห่วงหลานสะใภ้ จึงรับทองนาคไปอยู่ด้วย ทองนาคเป็นคนขยันขันแข็งถึงกำลังท้องไส้ ก็ยังช่วยหาบขนมขายทุกวัน จนกระทั่ง... กลางดึกคืนหนึ่งทองนาคเกิดเจ็บท้องจะคลอดลูก ตาหอยจึงรีบไปตามหมอตำแย(หญิงที่ช่วยทำคลอดสมัยก่อน) ชื่อยายจั่น มาทำคลอดให้ แต่ยายจั่นไม่สามรถทำอะไรได้เพราะเด็กในท้องขวางตัว และทองนาคไม่มีลมเบ่ง ในที่สุด... ทองนาคก็ขาดใจตายทั้งที่ลูกยังอยู่ในท้อง การตายลักษณะนี้เรียกว่า.....ตายทั้งกลม! ซึ่งเชื่อกันว่า ผีพวกนี้แรงทั้งแม่ทั้งลูกในวันฝังทองนาค นายทุย(เพื่อนของมากที่ถูกเกณฑ์ทหารด้วยกัน) ได้กลับมาบ้านที่พระโขนง และมาทันช่วยหามศพทองนาคไปฝังที่ป่าช้าวัดมหาบุศย์ หลังจากนั้น... พอตกดึก ชาวบ้านใกล้วัดมหาบุศย์ก็จะได้ยินเสียงทองนาคเห่กล่อมลูกอยู่ที่โคนต้นตะเคียนใกล้คลอง ด้วยสำเนียงอันโหยหวน มีเสียงเด็กร้องไห้ เสียงผู้หญิงหยาดเย็นปลอบโยน ประสานด้วยเสียงหมาหอน... บรื๋อออ์!ในตอนแรก... ทองนาคก็ไม้ได้ดุร้ายอะไรนัก จนกระทั่งลูกชายของนางไปเล่นกับเด็กวัดแล้วถูกเด็กวัดรังแกนางจึงหลอกพวกเด็กวัด ด้วยการยื่นมือยาวๆ จะจับเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำอะไรรุนแรง ทำเอาพวกเด็กวัดจับไข้กันเป็นแถว แต่รายที่ทองนาคเล่นงานอย่างจริงจังก็คือ เสี่ยย้ง เพราะเสี่ยย้งเคยปลุกปล้ำนางมาครั้งหนึ่ง นางทองนาคจึงบีบคอเสี่ยย้งจนตาย เมื่อมากกลับมาที่พระโขนง ก็พบทองนาครอรับอยู่ที่บ้าน มากจึงไม่ยอมเชื่อ เมื่อใครต่อใครบอกว่าทองนาคตายแล้ว จนตาหอยผู้เป็นลุงต้องแนะนำว่า จะเชื่อหรือไม่ ก็ให้ทดลองดู เวลานางทองนาคตำน้ำพริก ให้แอบบีบมะนาวลงไป ถ้าผีเป็นผู้ทำก็จะมีหนอม มากแอบทดลองดู ก็ปรากฏว่าในน้ำพริกมีหนอนจริงๆ แต่เขายังไม่ยอมเชื่อ กระทั่งวันต่อมา ขณะที่ทองนาคตำน้ำพริก บังเอิญทำสากหล่นลงไปใต้ถุนบ้าน (บ้านที่ทองนาคกับมากอยู่เป็นเรือนไทยใต้ถุนสูง) นางก็เอื้อมมือยาวเฟื้อยลงไปเก็บสาก มากเห็นเข้า ถึงได้ยอมเชื่อว่าเมียของตนกลายเป็นผีไปซะแล้ว และหนีไปหานายทุยที่บ้านทองนาครู้ว่ามากหนี ก็ตามไปที่บ้านของทุย ทุยกับมากจึงต้องพากันหนีอีก นางก็ติดตามไม่ลดละจนทั้งสองหนุ่มวิ่งหนีฝ่าเข้าไปในดงหนาด(ต้นไม้ชนิดหนึ่ง ใบใหญ่เป็นขน มีกลิ่นฉุน ใช้ทำยาได้ ถือกันว่าผีกลัว) นางจึงไม่กล้าติดตามเข้าไป แต่ยังรออยู่นอกดงหนาด แล้วเรียกเสียงเย็นๆ ว่า พี่มากขาาา......!จนรุ่งเช้า... นางจึงจำใจจากไปเพราะกลัวแสงแดด ส่วนสองหนุ่มที่หลบภัยอยู่ในดงหนาดนั้น สมภารคงวัดมหาบุศย์ออกบิณฑบาตผ่านมาพบเข้า ก็ช่วยพากลับไปที่วัด และให้พระเณรช่วยกันวงด้านสายสิญจน์ตั้งบาตรน้ำมนต์ให้พระมานั่งล้อมมากกับทุยแล้วสวดพระปริตร ตกกลางคืนทองนาคก็มาจริงๆแต่ไม่สามารถฝ่าวงสานสิญจน์เข้าไปหามากได้ ทำให้นางโกรธมาก และเที่ยวปรากฏตัวหลอกหลอนผู้คนที่พายเรือผ่านหน้าวัด จนไม่มีใครกล้าผ่านไปแถวนั้น และชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดก็ต้องอพยพหนีไปอยู่ที่อื่น พระสงฆ์องค์เจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วย (คงเป็นเพราะชาวบ้านย้ายหนีไปหมด เลยไม่มีใครใส่บาตร พระสงฆ์เลยลำบาก)ต้องย้ายไปอยู่วัดอื่น วัดมหาบุศย์แทบจะกลายเป็นวัดร้าง เหลืออยู่แต่สมภารคงรูปเดียวข่าวความดุร้ายของทองนาคเล่าลือกันไปทั่วกัน จนรู้ถึงหมอผีชื่อดังคนหนึ่งชื่อแหยม หมอแหยมพาเจ้าเปลี่ยนลูกศิศย์ทีวัดมหาบุศย์เพื่อจะปราบผีแม่ทองนาค แต่กลับถูกทองนาคหักคอตายส่วนเจ้าเปลี่ยนกลายเป็นบ้าไป แต่ในที่สุด.....ผีแม่ทองนาคก็ถุกปราบลงจนได้ โดยเณรจิ๋วซึ่งมาแต่เมืองเหนือ เณรจิ๋วได้ใช้วิชาอาคมเรียกทองนาคลงหม้อ เอาไปถ่วงน้ำได้สำเร็จ ข่าวความดุร้ายของทองนาคเล่าลือกันไปทั่วกัน จนรู้ถึงหมอผีชื่อดังคนหนึ่งชื่อแหยม หมอแหยมพาเจ้าเปลี่ยนลูกศิศย์ทีวัดมหาบุศย์เพื่อจะปราบผีแม่ทองนาค แต่กลับถูกทองนาคหักคอตายส่วนเจ้าเปลี่ยนกลายเป็นบ้าไป แต่ในที่สุด.....ผีแม่ทองนาคก็ถุกปราบลงจนได้ โดยเณรจิ๋วซึ่งมาแต่เมืองเหนือ เณรจิ๋วได้ใช้วิชาอาคมเรียกทองนาคลงหม้อ เอาไปถ่วงน้ำได้สำเร็จ เรื่องแม่นาคในนิยายก็จบลงเพียงเท่านี้ แต่มีคำเล่าลือบางกระแสว่าผู้ที่ปราบผีแม่นาค ไม่ใช่เณรจิ๋ว ทว่าเป็น...สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)วัดระฆัง เล่ากันว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านรู้ข่าวการอาละวาดของผีแม่นาคซึ่งก่อความหวาดกลัวและเดือดร้อนแก่ชาวบ้านแถววัดมหาบุศย์เป็นอย่างมาก แม้แต่หมอผีเก่งๆ ก็ยังพ่ายแพ้คอพับคอย่น (เพราะถูกบีบคอ) ไปหลายรายสมเด็จฯ โตจึง มาค้างที่วัดมหาบุศย์ แต่ท่านไม่ได้ทำพิธีอะไรมากมายอย่างหมอผีทั้งหลาย เพียงพอ ตกค่ำ ท่านก็ไปนั่งที่บริเวณหลุมศพแล้วเรียนนางนาคขึ้นมาสนทนากัน แต่ท่านจะพูดจากตกลงกับนางนาคว่าอย่างไรไม่มีใครรู้ ลือกันว่า ท่านได้เจาะเอากระดูกหน้าผากจากศพของนางนาคขัดกระดูกแผ่นนั้นจนเกลี้ยงเป็นมันแล้วนำกลับไปยังวัดระฆัง ลงยันต์กำกับและเจาะทำเป็นหัวเข็มขัด เวลาท่านจะไปไหนก็เอาคาดเอวติดไปด้วย นับตั้งแต่นั้น ผีแม่นาคที่เคยอาละวาดที่วัดมหาบุศย์พระโขนงก็สงบไป เมือไปอยู่ที่กุฏิสมเด็จโต เวลานั้นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร) ยังเป็นสามเณร อยู่ในกุฏินั้นด้วย ได้ถูกแม่นาครบกวน สามเณรก็ฟ้องสมเด็จฯ ว่า สีกามากวนเขาเจ้าข้า สมเด้จฯ ท่าก็ร้องปรามว่านางนาคเอ๊ยอย่ารบกวนคุณเณรซี แม่นาคก็เงียบไป แล้วนานๆ ก็ออกมาแหย่เล่นเสียครั้งหนึ่ง (แม่นาคคงจะเหงาน่ะ!) พอถูกปรามก็หยุดไป เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ครั้นสมเด็จฯ ท่าชรามากขึ้นก็มอบกระดูกหน้าผากนางนาคประทานหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ และให้สามเณร ม.ร.ว.เจริญ ไปอยู่ด้วย นางนาคยังคงเล่นสนุกเย้าแหย่สามเณรตามเคย หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ทรงกริ้วดุนางว่า... เป็นผู้หญิงยิงเรืออย่ามากวนเณร คุณเณรจะได้ดูหนังสือหนังหานางนาคจึงเงียบไป... ต่อมา... หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ซึ่งได้เป็นหม่อมเจ้า สมเด็จพระพุฒาจารย์(ทัต) ได้ประทานกระดูกหน้าผากนางนาคให้แก่หลวงพ่อพริ้ง (พระครูวิสุทธิ์ศีลาจารย์) วัดบางปะกอกภายหลังหลวงพ่อพริ้ง ก็มอบกระดูกนางนาคแด่กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ กระดูกนางนาคจึงไปอยู่ในซองผีที่วังนางเลิ้ง (ในเวลานี้เป็นโรงเรียนพาณิชยการพระนคร) อยู่ที่วังนางเลิ้งไม่นานเท่าไรนางนาคก็มากราบทูลลา (คงจะหมดเวรหมดกรมไปเกิดใหม่ แต่จะเกิดเป็นคนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะนางนาคอาจจะไปเกิดเป็นอมนุษย์ก็ได้และคำว่าอมนุษย์ก็ครอบคลุมกว้างมากตั้งแต่ ผี ปีศาจ ยักษ์ มาร นางไม้ เทวดา เป็นต้น หากให้สันนิษฐาน นางนาคน่าจเกิดในระดับที่สูงกว่าผีขึ้นไป) และกระดูกนางนาคชิ้นนั้นก็อันตรธานหายไปไม่พบเรื่องราวอีกเลย เรื่องราวแม่นาคที่บางครั้งก็ดูจริงจังเกินกว่าเรื่องนิยายอย่างนี้ทำให้เกิดความคิดขึ้นสองอย่าง.... บ้างก็ยังคงเชื่อว่า เป็นเรื่องนิยาย แต่มีมากกว่าบ้าง เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง! และฝ่ายที่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงนั้น ได้พยายามรวบรวมหลักฐานมายืนยัน เช่น...ขุนชาญคดี (ปั่น) กำนันตำบลพระโขงสมัยนั้น ได้เล่าถวาย สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ (พระองค์เจ้ายุคลทิฆัมพร พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๕) ว่า.....นางนาคเป็นบุตรสาวของขุนศรีฯ นายอำเภอ บ้านอยู่ปากคลองพระโขนงฝั่งตะวันตกข้างวัดมหาบุศย์(ตามหลักฐานนี้ แม่นาคไม่ใช่ลูกสาวของตามั่นยายมีแต่อย่างไร และไม่ใช่เด็กสาวกำพร้าด้วย) และเป็นสาวสวยที่จะหาสาวใดในย่านพระโขนงมาเทียบเคียงได้ยาก สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์เมื่อได้ทรงฟังเรื่องราวแล้ว ถึงกับรับสั่งว่า"สวยสดงดงามถึงอย่างนั้นทีเดียวรึ มิน่าเล่าเจ้าพวกหนุ่มๆ ถึงได้ตอมกันนัก และปีศาจก็มีฤทธิ์ร้ายแรงถึงเพียงนั้น"และหลักฐานที่ ก.ศ.ร.กุหลาบ บรรณาธิการหนังสือ "สยามประเภท " ตอบข้อข้องใจของคนอ่าน ลงในหนังสือเล่มที่ ๓ วันเสาร์ที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๔๔๒ ว่า....."จะเปนวันเดือนปีใดจำไม่ได้เปนคำพระศรีสมโภช (บุด) วัดสุวรรณเล่าถวายสมเด็จอุปัชฌาย์ว่า ในรัชกาลที่ ๓ กรุงเทพฯ อำแดงนาก บุตรขุนศรีนายอำเภอ บ้านอยู่ปากคลองพระโขนง เปนภรรยานายชุ่มตัวโขนทศกรรฐ์ในพระจ้าวบรมวงศ์เธอจ้าวฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี อำแดงนากมีบุตรถึงอนิจกรรม นายชุ่มทศกรรฐ์สามีนำศพอำแดงนากภรรยาไปฝังที่ป่าช้าวัดมหาบุด... ศพอำแดงนากฝังไว้ที่นั่นไม่มีปีศาลหลอกผู้ใด เปนแต่พระศรีสมโภชเจ้าของวัดมหาบุด เล่าถวายพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสว่า นายชุ่มทศกรรฐ์เปนคนมั่งมี.... บุตรนายชุ่มมีชายหญิงหลายคน แต่ล้วนยังไม่มีสามีภรรยาทั้งสิ้น บุตรนายชุ่มหวงทรัพย์สมบัติของบิดา เกรงว่าบิดาจะมีภรรยาใหม่...พวกลุกชายจึงทำอุบายให้คนไปขว้างปาชาวเรือ ตามลำคลองริมป่าช้าที่ฝังศพอำแดงนากมารดา กระทำกิริยาเปนผีดุร้ายหลอกคน จนถึงช่วยนายชุ่มถีบระหัดน้ำเข้านาแลวิดน้ำกูเรือของนายชุ่มที่ล่มก็ได้ บุตรชายแต่งกายเปนหญิงให้คล้ายอำแดงนากมารดาทำกิริยาเปนผีดุร้ายให้คนกลัวทั่วทั้งลำคลองพระโขนง... บุตรนายชุ่มทศกรรฐ์หลายคนได้เล่าถวายเสด็จอุปชฌาย์ว่า ตนได้ทำมายาเปนปีศาจอำแดงนากมารดาหลอกชาวบ้าน จริงดั่งพระศรสมโภชกราบทูลเสด็จอุปัชฌาย์ทุกประการ" (จากหนังสือ ตามรอยนางนากพระโขนง ของ ส.พลายน้อย)(ตามความข้างต้นนี้ สามีของแม่นาคแทนที่จะเป็นนายมากกลับเป็นนายชุ่ม และวัดมหาบุดที่กล่าวถึงก็คือวัดมหาบุศย์นั่นเอง) แต่หลักฐานทั้งสองนี้ก็ยังคงขัดแย้งกันเอง จึงต้องล้วแต่ว่า ใครจะเขื่อในเรื่องไหนแต่อน่างไรก็ตาม เรื่องราวของแม่นาคพระโขนง ก็ยังคงเป็นตำนานรักอมตะประจำถิ่นพระโขนงมาตราบเท่าทุกวันนี้ และเพื่อเป็นการระลึกถึงแม่นาค ทางวัดมหาบุศย์จึงได้สร้างศาลแม่นาคพระโขนงขึ้นในบริเวณวัด เพื่อให้ผู้มีศรัทธาเลื่อมใส ได้แวะมากราบไหว้ย่านาคกัน*(ชื่อ แม่นาค เขียนได้ ๒ อย่างคือ นาก วึ่งหมายถึงของมีค่า จำพวกทอง เงิน นาก และ นาค ซึ่งเป็นชื่อที่นิยมใช้ในรุ่นหลังๆ) เหตุที่ผีแม่นาคเฮี้ยนหนัก เพราะเอาศพไปฝังไว้ระหว่างต้นตะเคียนคู่ ก่อนหน้าที่ทิดมากจะมา ผีนางนาคไปร้องขอข้าวเณร และยื่นมือไป เณรเอามีดหมอหลวงตาฟันมือขาด หลวงตาเอาเณรไปไว้ในกุฏิ เอาใบหนาดสวม และนอนเฝ้า แต่ผีนางนาคก็มาหักคอเณรจนได้ ผีนางนาคกับลูกเที่ยวหลอกชาวบ้านและคนเดินทาง รวมทั้งพระในวัดจนเป็นที่เลื่องลือ แม้หนุ่มๆ ผีนางนาคก็แปลงกายเป็นสาวสวยมาหลอกให้หลง พอรู้ว่าเป็นผีก็หนีขวัญหนีดีฝ่อ ทิดมากเองจะไปไหนก็ไม่ได้ นางนาคคอยติดตาม ในที่สุดต้องหาหมอผีมาเรียกวิญญานนางนาคและลูกใส่หม้อ นำไปถ่วงน้ำ แล้วทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ผีนางนาคจึงหายไป แต่ตำนานเรื่องแม่นาคพระโขนงก็ยังเล่าสืบกันมา จนถึงกับนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง แม่นาคพระโขนง ฉายให้คนชมติดใจไปตามๆ กัน

ตำนานผี ท่าน เคาท์ แดร๊คคูล่า ( Count Dracula )

ตำนานผี ท่าน เคาท์ แดร๊คคูล่า ( Count Dracula )- ในจำนวนผีเทศ หรือผีฝรั่ง เห็นจะไม่มีใครโด่งดัง และได้รับการกล่าวขวัญถึงมากไปกว่า ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าแห่ง โรมาเนีย เพราะมี เรื่องเล่าขาน ถึงประวัติความเป็นมาตลอดจนพฤติกรรมอันน่าสยดสยองของผีดิบตนนี้มานานหลาย ศตวรรษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เนื่องจากตำนาน นิยายสยองขวัญและภาพยนต์ ซึ่งสร้างฉายโกยเงินไปทั่วโลกแล้วหลายสิบรอบประวัติความเป็นมา- Dracula ในภาษา โรมาเนีย แปลว่า "ปีศาจ" แต่เดิน ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่านั้นเป็นเจ้าชายผู้ครองแคว้น วัลลาเซียในปัจจุบันนี้รวมอยู่ในประเทศ โรมาเนีย ทวีปยุโรป เป็นดินแดนหลังม่านเหล็กผู้ให้กำเนิดเคาท์ แดร๊คคูล่า- สำหรับผู้ให้กำเนิดเคาท์ แดร๊คคูล่า ไม่ใช่ซาตานหรือจอมปีศาจอสูรกายตนไหน แต่เป็นนักประพันธ์ชาวอังกฤษมีนามว่า "แบรม สโตเกอร์" ซึ่งเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดตนนี้ขึ้นมาจากความฝันในค่ำคืนอันเย็นยะเยือกแห่งฤดูหนาว ในปีค.ศ. 1897 และเมื่อประสบความสำเร็จก็มีภาคหรือตอนต่อๆมา เพื่อตอบสนองคอนิยายแนวสยองขวัญจนโด่งดังได้รับความนิยมไปทั่วโลก หากจะนับจำนวนครั้งที่ตีพิมพ์ การแปลเป็นภาษาต่างๆ และการนำไปสร้างเป็นภาพยนต์ฉายทั้งในโรงและจอโทรทัศน์คงต้องนำข้อมูลใส่คอมพิวเตอร์ให้ช่วยคำนวนกันเลยทีเดียว จึงไม่ต้องสงสัยว่าผีดูดเลือดรูปหล่อตนนี้ได้ทำเงินให้กับเจ้าของบทประพันธ์และผู้จัดพิมพ์ผู้สร้างภาพยนต์ไปแล้วจำนวนมากมายมหาศาลสักแค่ไหน- ท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าไปเกี่ยวข้องกับเจ้าชายวลาด ทีปีส แห่ง โรมาเนีย ได้อย่างไร ความจริงคือ ... แม้ว่ามิสเตอร์สโตเกอร์จะเขียนเรื่องราวนี้จากความฝันของเขา แต่ก็ได้เค้ามาจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ของดินแดน โรมาเนีย เกี่ยวกับเรื่องของ เจ้าชายวลาด ทีปีส แห่งแคว้น วัลลาเซีย ผู้มีความดุร้าน ทารุณโหดเหี้ยมไม่ผิดอะไรกับภูติผีปีศาจจนได้รับสมญานามว่า ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า - เจ้าชาย วลาด ทีปีส เป็นนักรบและนักปกครองจอมกระหายเลือด เมื่อจับนักโทษหรือศัตรูได้ จะต้องนำไปทรมานด้วยวิธีการอันสุดแสนจะพิสดารจนตาย วิธีการที่ว่านั้นคือ นำนักโทษหรือข้าศึกไปเสียบด้วยเหล็กแหลมให้ดิ้นทุรนทุรายร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว จนกว่าจพขาดใจตาย ด้วยเหตุนี้ชาวบ้าน จำพร้อมใจกันถวายสมญานามให้พระองค์ว่า "วลาด นักเสียบ" ( Vlad the Impaler )- หากดูจากพฤติกรรมของเจ้าชายองค์นี้ ท่านผู้อ่านคงเห็นว่าสมควรแล้วที่จะได้รับสมญานามว่า ยอดนักเสียบ และ จอมซาดิสต์ผู้บ้าคลั่ง จนได้รับฉายาว่าปีศาจ หรือ แดร๊คคูล่า ตลอดชีวิตของพระองค์ ได้ฆ่าคนด้วยวิธีการต่างๆรวมทั้งวิธีทรมานอย่างที่กล่าวไว้มานับหมื่นคน แต่ในวาระสุดท้าย ผลกรรมก็ตามสนองเพราะเจ้าชายพระองค์นี้ถูกข้าศึกสังหารในสนามรบ โดยตัดเอาหัวไปด้วย ฉะนั้นหากจะให้เป็นผีดูดเลือด ก็ต้องให้รับบทผีหัวขาดด้วย ลักษณะของท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า- หากดูในภาพยนต์ต่างๆ จะเห็นได้ว่าท่านเคาท์ เป็นชายหนุ่มรูปหล่อ อายุประมาณ 30 เศษ ศีรษะออกจะเถิกนิดๆหน่อยๆ ดูภูมิฐาน สมวัย มักแต่งตัวด้วยชุดสีดำคล้ายสูทแต่ยาวรุ่มร่าม เห็นแล้วดูอึดอัด นอกจากนั้นก็ยังมีผ้าคลุมไหล่สีดำอีกผืนหนึ่งเวลาแต่งตัวเต็มยศจึงดูคล้ายกับมนุษย์ค้างคาว - นอกจากความหล่อชนิดคุณสาวๆ พอได้สบตาเป็นหลง ยอมให้ดูด แต่โดยดี ท่านเคาท์ยังมีเขี้ยวสเน่ห์ ด้านบนทั้งสอง และเวลาแยกเขี้ยวแสยะยิ้ม ก็จะดูสยองเลยทีเดียว บางตำราก็ว่า ปกติตอนไม่ได้ใช้งาน เขี้ยวก็จะหดอยู่ พอจะใช้งานหรือต้องการจะแสดงให้เห็นมันก็จะปรากฎออกมาเองสถานที่พำนักของท่านเคาท์แดร๊คคูล่า- ไม่ว่าผีไทยหรือผีฝรั่งย่อมต้องกลัวแดด กลัวแสง เหมือนกัน ดังนั้นในเวลากลางวันท่านเคาท์สุดหล่อ ก็ต้องนอนพักผ่อนในโลงอัน หรูหรา ที่ซ่อนอยู่ในห้องใตดินของปราสาท - ในห้องใต้ดินอันเป็นที่อาศัยของท่านเคาท์ ก็ยังมีโลงของบรรดาผีดูดเลือด สมุนบริวารอยู่อีกหลายใบ พอถึงตอนกลางคืน ทั้งหมดก็ลุกออกมาแยกย้ายกันไปหากินอาหารและวิธีออกหากิน- เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า อาหารของท่านเคาท์ คือ เลือด โดยเฉพาะเลือดของบรรดาเหยื่อสาวๆ ยิ่งสาว พรมจรรย์ ยิ่งอร่อย (เขาว่างั้นนะ สงสัยผีชีกอแหงๆ ) ท่านเคาท์จะแปลงร่างเป็นค้างคาว บิน พับๆ ... ออกไปล่าเหยื่อ เมื่อใกล้รุ่งเช้าก็จะรีบบินกลับ ปราสาทมานอนในโลงดังเดิมอิทฤทธิ์ของผีดูดเลือด- หากว่าใครตกเป็นเหยื่อของท่านเคาท์ หรือผีดูดเลือดตนอื่นๆแล้วล่ะก็ จะกลายเป็นผีดูดเลือดไปด้วย ส่วนเรื่องพละกำลังนั้นไม่ต้องสน เพราะต่อให้เรามีแรงมากแค่ไหนก็ไม่สามารถเทียบกับมันได้เลย อีกอย่างมีบางตำนานกล่าวไว้ ก็คือ แดร๊คคูล่าสามารถแปลงเป็นควันได้ แม้จะหลบหนีอยู่ในที่มิดชิดแค่ไหน ท่านเคาท์ก็ตามเข้าไปจัดการได้ ( แล้วจะหนียังไงเนี่ย );วิธีป้องกันและจัดการกับผีดูดเลือด- สิ่งที่ท่านเคาท์และบรรดาผีดูดเลือดกลัว คือ แสงแดด ไม้กางเขน กระเทียม เหล็กแหลม ( ใช้ตอกอก ) น้ำ - แสงแดด ไม่ว่าผีไทยหรือผีฝรั่ง เจอเข้าเป็นร้องจ๊าก!! แสบผิวหนังไปหมดเลย จอร์จ !! จึงสบายใจได้ว่า กลางวันปลอดภัยจากผีแน่นอน- ไม้กางเขน ดูเหมือนอันนี้เฉพาะผีฝรั่งเท่านั้นที่กลัว เพราะไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา แทนเครื่องหมายของพระเจ้า หรือจะให้ผีฝรั่งกลัวพระเครื่องของไทย อันนี้ก็ดูแปลกๆ ชาวยุโรปเชื่อว่าสามารถป้องกันผีได้อย่างดี แต่ถ้าเป็นไม้กางเขนหัวกลับ จะเป็นเครื่องหมายของ ซาตาน- กระเทียม สรรพคุณ กลิ่นแรง รสชาติเผ็ดร้อน หากลองเอากระเทียมสดๆ ยัดใส่ปากตัวเองสัก 1 กำมือ อันนี้ถึงเป็นคน ก็ทนแทบไม่ไหวเช่นกันกับตำนานท่านเคาท์ ที่ต้องกลัวกระเทียม แต่ถ้าเอาไปปรุงอาหารแล้ว ท่านเคาท์จะกลัวหรือเปล่าเนี่ย อิอิ ก็น่าคิด..- เหล็กแหลม แน่นอน ถ้ามันวางไว้เฉยๆ ก็ดูไม่น่ากลัวอะไร แต่นี่คือ อาวุธของพระเอกสำหรับจัดการ ท่านเคาท์ โดยการรอจนเช้าแล้ววิ่งเข้าไปห้องใต้ดินที่เก็บร่างของท่านเคาท์ เอาเหล้กแหลมตอก หรือจิ้มลงไปบนอกของผีร้าย( โลงของท่านเคาท์ยิ่งหาง่าย เพราะจะติดแอร์ มีเสาอากาศ สายโทรศัพท์ ต่ออินเตอร์เนต ฯลฯ จริงๆแล้วเป็นโลงที่อยู่เด่นชัดและหรูกว่าของชาวบ้านนั่นเอง ) เท่านี้ บรรดาผีดูดเลือดก็ ม่องเท่ง ไปตามๆกัน ยิ่งเอากระเทียมยัดปากเพื่อความมั่นใจ ยิ่งดีใหญ่- น้ำ อันนี้ไม่รู้ท่านเคาท์จะกลัวทำไม หรือว่ากลัวว่าไม่มีกลิ่นสาบ ถึงแม้จะรูปหล่อถ้ามีแต่กลิ่นเน่า สาวๆ คงไม่หลงเป็นแน่ ถ้าใครพบผีดูดเลือด ลองหลอกพาไปอาบอบนวดสัก ชม. รับรอง เด๊ดสะมอเร่ตามระเบียบส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องคือ เรื่องของ แวมไพร์ มีค้างคาวชนิดหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่า Vampire ซึ่งชอบดุดเลือดคนและสั... และค่อนข้างตะกละมากเป็นพิเศษ มักบินไปดูดเลือดสั...ในคอกของชาวบ้าน ประกอบกับในช่วงเวลานั้นมักมีข่าวของฆาตกรโรคจิต ออกสังหารล่าเหยื่อสาวๆในเวลานั้น ผู้เขียนจึงเอาเรื่องราวเหล่านี้มาผสมกลมกลืนเป็นเรื่องราวของผีดูดเลือด ด้วยประการละฉะนี้ ....

ตำนานแม่นาคญี่ปุ่น

Yotsuya Kaidan หรือ ตำนานของ Oiwasan ถูกสร้างเป็นละคร หนัง อนิเมะ หลายครั้งหลายคราเป็นตำนานผีที่โด่งดังที่สุดในญี่ปุ่น หากลองถามคนญี่ปุ่นว่าผีตัวไหนของญี่ปุ่นน่ากลัวที่สุด รับรองได้ว่าชื่อของ Oiwasan ต้องเป็นชื่อแรก ๆ ที่คนญี่ปุ่นนึกถึงอย่างแน่นอนในระหว่างช่วงสมัยเอโดะ มีผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งความสวย และจิตใจดี และเป็นที่โจษขานกันถึงความงามของเธอ นามของเธอ คือ "Oiwa" Oiwa มีชายหนุ่มมากมายที่หมายปองเธอ แต่เธอก็เลือกซามูไรหนุ่มที่ชื่อ Iemon Tamiya มาเป็สามี แต่หารู้ไม่ว่าการตัดสินใจเลือกแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ "เธอคิดผิด" สามีของเธอรักเธอในช่วงแรก ๆ เท่านั้น แต่หลังจากที่สภาพทางการเงินของครอบครัวไม่สู้ดีนัก Iemon ก็เกิดไปตกหลุมรักกับลูกสาวเศรษฐีเข้า ในขณะเดียวกัน Oiwa ก็เพิ่งคลอดลูก ลูกสาวเศรษฐีและสามีของเธอจึงคิดจะกำจัดก้างขวางคออย่าง Oiwaหญิงชู้ได้ใช้ให้ Iemon เอายาพิษที่กินแล้วจะทำให้เสียโฉมให้ Oiwa กิน แล้วหลอกว่าเป็นยาบำรุงหลังคลอดลูก Oiwa ได้ดื่มยาพิษนั่นและทำให้หน้าของเธอเสียโฉม ตาของเธอปูดโปนขึ้น เมื่อเธอรู้ถึงแผนชั่วของหญิงชายคู่นั้นเธอก็แค้นมากและฆ่าตัวตายในบึงน้ำ Oiwa (บางตำนานบอกว่า Iemon เป็นคนฆ่าเธอแล้วโยนลงไปในบึง) หลังจากนั้น Iemon ก็ย้ายไปอยู่บ้านของเศรษฐี (ภาพ ศาลเจ้า Oiwa-Inari Tamiya Jinja)วันหนึ่งวิญญาณของเธอโผล่ขึ้นมากลางบ้านพร้อมกับเสียงโหยหวน และคร่ำครวญของเธอ เป็นที่น่าขนลุก Iemon ก็คว้าดาบซามูไรประจำกายแทงเข้าไปที่เงาของ Oiwa แต่แล้วเมื่อร่างนั้นล้มลง กลับกลายเป็นร่างของลูกสาวเศรษฐีชู้รักของตน เมื่อเศรษฐีเข้ามาดูร่างของเศรษฐีก็กลายร่างเป็น Oiwa ที่น่าตาหน้าเกลียด Iemon ก็คว้าดาบฟันเข้าไปที่ร่างนั้นแต่แล้วร่างนั้นก็กลายเป็นร่างของเศรษฐี เขาได้หนีกลับไปอยู่บ้านของตัวเองแต่แล้วก็โดนเชือกที่ห้อยอยู่กลางบ้านพัน เข้าที่คอ เขาได้คว้าดาบขึ้นมาพยายามตัดเชือกแต่พลาดไปโดนคอของตัวเองและสิ้นใจตายใน ที่สุดเรื่องของ Oiwa มีการเล่าขานกันมานานและมีเรื่องราว ๆ คล้าย ๆ กัน บางตำนานบอกว่า Oiwa นั้นเกิดมาก็น่าตาอัปลักษณ์ และเป็นลูกสาวเศรษฐี แต่พอแต่งงานกับ Iemon เธอก็ได้รับชะตากรรมอย่างเดียวกับเรื่องที่ได้เล่าไป Oiwasan เป็นผีตนหนึ่งของญี่ปุ่นที่เรียกว่าติดอันดับต้น ๆ ของผีที่คนญี่ปุ่นกลัวที่สุดยังมีตำนานบอกว่าหากใครได้นำเรื่องของเธอมาสร้างเป็นหนัง หรือละครก็จะต้องไปไหว้ศาล Oiwa-Inari Tamiya Jinja ที่อยู่ในโตเกียว ที่นั่นสุสานของ Oiwasan และได้เขียนไว้ว่าวันตายของเธอคือ 22 กุมภาพันธ์ ปี 1963 ตำนานเรื่องนี้มีสถานที่หลาย ๆ แห่งที่มีอยู่จริงเรียกได้ว่า เป็น "แม่นาค" แห่งกรุงโตเกียวก็ว่าได้

ผีมด-ผีเม็ง

การฟ้อนผีมด-ผีเม็ง คือ การฟ้อนรำเพื่อเป็นการสังเวย หรือการแก้บนของบรรพบุรุษ ซึ่งชาวบ้านทางภาคเหนือนับถือกัน แต่ในปัจจุบันได้เลือนหายไปมากแล้ว ยังมีปฏิบัติกันอยู่บ้างในชนบทของล้านนาไทย ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ สันนิษฐานว่า ผีมด เป็นผีประจำตระกูลหรือผีบรรพบุรุษ ซึ่งสันนิฐานว่าเป็นผีที่ทำหน้าที่มด คือดูแลลูกหลานในตระกูลจากการสังเกตพฤติกรรมการละเล่นที่ปรากฏในขบวนการฟ้อนผีมด เช่น การปัดต่อปัดแตน ยิงนก ยิงกระรอก กระแต คล้องช้างคล้องม้า ชนไก่ ทำไร่ทำสวน ทอดแห ฟ้อนดาบ และถ่อเรือถ่อแพ เห็นว่าเป็นพฤติกรรมของชายหรือพ่อบ้านที่พึงกระทำในการดำรงชีวิต จึงเห็นว่า ผีมด น่าจะเป็นผีฝ่ายพ่อหรือการสืบจากฝ่ายบิดา ซึ่งต่างไปจากผีเมง ที่แสดงพฤติกรรมแง่การคลอดบุตรและการปรุงอาหารเป็นกิจกรรมเด่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผีเมง เป็นผีของฝ่ายหญิง และฟ้อนผีมดผีเม็งนี้เป็นการสังเวยบรรพบุรุษ ซึ่งจะจัดอยู่ในวงศาคณาญาติ หรือที่เรียกว่าตระกูลเดียวกัน ในวันครบปี หรือบางครั้งก็ 2 ปี 3 ปี แล้วแต่จะสะดวก แต่บางที่พี่น้องหรือญาติ ๆ กัน เกิดมีการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็จะมีการบนบานสารกล่าว ถ้าหายจากการเจ็บป่วยแล้วก็ทำการแก้บน คือฟ้อนแก้บนนั้นเอง การจัดนั้นทางผู้ที่เป็นเจ้าภาพ ก็จะทำหน้าที่เลี้ยงดูหมู่แขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ส่วนมากเป็นญาติ และเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน เริ่มต้นด้วยการทำปะรำหรือทางภาษาล้านนาเรียกว่า “ผาม” ขึ้นกลางลานบ้านเจ้าภาพก็จะจัดเครื่องสังเวยเป็นต้นว่า หมู ไก่ เหล้า ข้าวต้ม ขนมน้ำอ้อย พาน ข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียนต่าง ๆ ในปะรำต้องมีราวสำหรับพาด ผ้าโสร่ง ผ้าพันหัว ผ้าพาดบ่า สำหรับใส่ทับในเวลาฟ้อนและการฟ้อนก็จะมีดนตรีประกอบเครื่องดนตรีก็เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองเป็นส่วนมาก เช่น กลอง ระนาด แน ฉิ่ง ฆ้องวง ฯลฯเมื่อได้เวลาแล้วก็จะจุดธูปเทียนที่หน้าหอผีซึ่งปลูกไว้ในเวลาบ้านเป็นลักษณะคล้ายศาลเพียงตาปลูกให้เป็นที่อยู่ของผี สตรีที่มีอาวุโสในบ้านนั้นจะนำทำพิธีขอเชิญผีมาเข้าทรงมีการขอให้ผีที่มาเข้าทรงนั้นปกปักรักษาลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุข เมื่อผีเข้าทรงแล้วก็จะมีการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบซึ่งกันและกัน คนทรงก็จะเรียกลูกหลานว่า “เหลนน้อย”และมีการมัดมือสู่ขวัญลูกหลาน พอสมควรแล้วจะมีการฟ้อนผู้หญิงจะนำฟ้อนก่อนโดยเอามือไปเกาะที่ผ้าขาวกลางปะรำที่ผูกไว้โยนตัวไปมาขณะที่ฟ้อนก็จะมีดนตรีประกอบด้วย พวกผู้ชายมักจะมีการฟ้อนดาบสำหรับเครื่องแต่งตัวนั้นมีผ้าโสร่ง ผ้าพันหัว เสื้อแบบมอญ ผ้าพาดบ่า และอื่น ๆ อีกผีมดผีเม็งนั้น มีวิธีการทำที่คล้ายคลึงกันอาจจะต่างกันไปบ้างในรายละเอียดอื่น ๆ เช่น บางตำราบอกว่า ผีเม็งจะมีกระบอกปลาร้า เป็นเครื่องสังเวย ชาวบ้านมักจะพูดกันเล่น ๆ ติดปากว่า “เม็งน้ำฮ้า” หมายถึง พวกมอญชอบปลาร้า และชอบถนอมอาหารด้วยการดองผักต่าง ๆ ไว้กินนาน ๆ การฟ้อนนอกจากจะเป็นพิธีรำลึกถึงพระคุณของปู่ ย่า ตา ยายแล้วยังสร้างความสามัคคีกลมเกลียวขึ้นในกลุ่มที่นับถือผีด้วยกันซึ่งจะต้องปฏิบัติตามจารีตที่วางไว้โดยเคร่งครัด เช่น ไม่ยอมให้แต่งงานในกลุ่มผีเดียวกันเป็นต้นครอบครัวที่นับถือผีมด-ผีเม็งเขาจะสร้างศาลทางทิศตะวันออกของบ้านบางบ้านก็นับถือผีมดบางบ้านก็นับถือผีเม็งความแตกต่างของทั้งสองผีนั้นอยู่ที่สัญลักษณ์ กล่าวคือ ถ้าเป็นพิธีการฟ้อนผีเม็งจะมีกระบอกใส่ปลาร้า สังเวยผีบรรพบุรุษ แต่ถ้าฟ้อนผีมดจะไม่มี ส่วนกำหนดการ และพิธีกรรมต่าง ๆ ก็ยังเหมือนกันอยู่ประโยชน์ของการฟ้อนผีมด-ผีเม็ง1. เป็นการสร้างความสามัคคีพบปะคุ้นเคยกันในหมู่บ้าน2. เป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณอย่างหนึ่งที่รำลึกบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว3. เป็นที่พึ่งทางใจในกรณีที่ป่วยไข้แล้วมีการบนบานศาลกล่าวเอาไว้เมื่อหายแล้วก็จัดพิธีฟ้อนเป็นการแก้บน4. เป็นการพักผ่อนหย่อนใจอย่างหนึ่ง เพราะคนสมัยก่อนมีงานประจำทำก็คือการทำไร่ ทำนา ช่วงเดือน 9(มิถุนายน) เป็นช่วงที่ว่างจากงานพวกนี้จึงพากันจัดพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นเวลาในการจัดฟ้อนการฟ้อนผีมด-ผีเม็ง จะทำกันระหว่างเดือน 8-9 (พฤษภาคม - มิถุนายน) บางตระกูลก็กำหนดไว้ปีละครั้งบางตระกูลก็ 3 ปีครั้ง บางตระกูลก็ไม่มีกำหนดแน่นนอนแล้วแต่ความสะดวกบางครั้งก็เป็นการฟ้อนแก้บนในกรณีที่ลูกหลานเจ็บป่วยแล้วบนบานเอาไว้เมื่อหายก็มีการฟ้อนรำแก้บนพิธีกรรมก่อนที่จะทำพิธีจะต้องมีการเตรียมสถานที่โดยการสร้างประจำ (ทางเหนือเรียกว่า ผาม) ภายในลานบ้าน ในปะรำมีเครื่องเซ่นสังเวยต่าง ๆ เช่น หัวหมู ไก่ต้มสุกทั้งตัว เหล้า ข้าวตอก ดอกไม้ ธูปเทียน ขนมข้าวต้มมะพร้าว กล้วยอ้อย ใส่ภาชนะไว้บนร้าน ซึ่งคล้ายกับศาลเพียงตาสูงจากพื้นดินประมาณหนึ่งเมตร และมีราวผ้าโดยมีผ้าโสร่งใหม่พาดไว้หลายตัวสำหรับผู้ที่จะมาฟ้อนและมีผ้าพาดบ่าเวลาฟ้อนด้วยพร้อมกับมีผ้าโพกหัวสีต่าง ๆ ซึ่งใช้กันทั้งชายและหญิงตรงกลางปะรำจะมีผ้าขาวห้อยเอาไว้ปล่อยให้ยาวลาดพื้นปะรำ ในวันแรกที่จะทำพิธีฟ้อนจะมีหญิงชราที่เป็นหัวหน้าตระกูลนั้นนำลูกหลานเข้าไปทำพิธีสักการะบูชาผีบรรพบุรุษ มีการอธิฐานขอให้คุ้มครองลูกหลานญาติพี่น้องทุกคนให้มีความสุขสบายทำมาหากินสะดวกหลังจากทำพิธีสักการะบูชาบอกกล่าวแก่ผีบรรพบุรุษแล้ว ก็กล่าวอัญเชิญผีหรือเจ้าพ่อไปยังปะรำพิธี ในการทำพิธี อัญเชิญนี้ก็จะมีที่นั่ง (คนทรง) ไปทำพิธีด้วยเพื่ออัญเชิญเจ้าพ่อไปยังปะรำพิธีจากนั้นก็จะมีการอัญเชิญเจ้าพ่อเข้าทรง คนทรงจะมีอาการผิดแปลกไปจากเดิม ท่าทางไม่เหมือนลักษณะคนเดิมเลย และเจ้าพ่อก็จะเอาขวดเหล้าซึ่งเป็นเหล้าสังเวยนั้นยกดื่มจนหน้าแดงกล่ำ แต่ไม่ปรากฏอาการมึนเมา พอได้ที่แล้วก็จะถามกันระหว่างคนทรงกับบรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายซึ่งคนทรงมักจะเรียกลูกหลานว่า “ไอ้เหลนน้อย” เมื่อถามไถ่กันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็อัญเชิญเจ้าพ่อออกจากคนทรง หลังจากนั้นก็จะมีการฟ้อนผีมด-ผีเม็ง ซึ่งพวกผู้หญิงหรือพวกญาติพี่น้องที่มีอายุจะเป็นคนฟ้อนนำขึ้นก่อนผู้รำส่วนมากจะเป็นผู้หญิง ผู้ชายไม่ค่อยรำกัน ถ้ารำมักจะรำดาบรำง้าวก่อนที่จะฟ้อนผู้ฟ้อนจะไปหยิบเครื่องแต่งตัวจากราว สวมทับเข้ากับเสื้อผ้าตัวเองโดยไม่ต้องเปลี่ยนแล้วก็เข้าไปเอามือเกาะผ้าขาวที่ห้อยอยู่กลางปะรำพร้อมกับฟุบหน้าลงโยนตัวไป ๆ มา ๆ สักครู่ออกมาฟ้อนตามจังหวะกลองที่จ้างมาบรรเลง กลองดังกล่าวเรียกว่า กลองเต่งทิ้ง มีอุปกรณ์ คือ กลองสองหน้า กลองขัดจังหวะ ระนาด ฆ้องวง ปี่(แน) ฉาบ ฉิ่ง ฆ้องเล็ก ชนิดละอย่าง (กลองชนิดนี้ทางเหนือใช้ตีปลุกใจพวกนักมวยเวลาชกกัน) คนรำก็จะเปลี่ยนกันเข้าออกแต่ละคนจะต้องเป็นคนในตระกูลเท่านั้น ตระกูลอื่นเข้าไปรำไม่ได้ ผิดผี และการรำก็ไม่มีศิลปะหรือมาตรฐานแน่นอนอะไรการฟ้อนผีมด-ผีเม็ง ไม่ใช่การฟ้อนเพื่อเซ่นสังเวยพวกภูตผีปีศาจ แต่เป็นการฟ้อนเซ่นสังเวยผีบรรพบุรุษ ซึ่งอาจจะเป็นผีปู่ ย่า ตา ยาย หรือผีบิดา มารดา ที่ล่วงลับไปแล้วเพราะเขาถือกันว่าเมื่อพวกญาติพี่น้องตายไปแล้วดวงวิญญาณจะมารวมกันอยู่ที่หอผี จึงได้สร้างหอขึ้นไว้ เพื่อใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมตำนานตำนานผีมดและผีเม็งเป็นผีประจำตระกูลอีกอย่างหนึ่งที่จัดอยู่ในเครือผีบรรพบุรุษหรือผีปู่ย่าซึ่งมักจะพบมีการนับถืออยู่ในเขตชุมชนเมืองเป็นส่วนมากเนื่องจากเป็นผีของคนในเมืองที่สืบเชื้อสายมากจากตระกูลเจ้านายและขุนนาง ดังนั้นพิธีกรรมจะค่อนข้างซับซ้อนตระกูลของผีมดผีเม็งมักสืบเชื้อสายไปได้ไกลและผีปู่ย่าของตระกูลผีมดผีเม็งจะมีชื่อเรียกขานเป็นชื่อเจ้านายอยู่ในตำนาน ซึ่งจะแตกต่างจากผีปู่ย่าโดยทั่วๆไปที่จะไม่มีชื่อเรียกขานเฉพาะตระกูลที่นับถือผีมดผีเม็งในทุกวันนี้มีเหลืออยู่ไม่มากนัก ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ ลำพูนและลำปาง แต่สำหรับเมืองอื่นๆแทบจะไม่ปรากฏโดยข้อเท็จจริงแล้วผีมดและผีเม็งนั้นเป็นผีประจำตระกูลที่มีความแตกต่างกันทั้งในความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชนและรายละเอียดในพิธีกรรม แต่มักจะถูกเรียกรวมกันว่า ผีมดผีเม็งเนื่องจากพิธีกรรมในการเลี้ยงผีมดผีเม็งนั้นจะจัดในช่วงเวลาใกล้เคียงกันและมีฟ้อนรำ หรือที่เรียกว่าฟ้อนผี เพื่อเป็นการสังเวยผีบรรพบุรุษเหมือนกัน บางครั้งก็จะมีการจัดฟ้อนผีร่วมกัน เรียกว่า ผีมดซอนเม็งดังนั้นพิธีกรรมในการเลี้ยงผีดังกล่าวนี้จึงจัดเป็นประเพณีทีมักเรียกรวมกันไปว่า ประเพณีฟ้อนผีมด-ผีเม็งผีมด เรื่องราวของผีมดนั้นไม่อาจระบุได้ว่าเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากชนกลุ่มใดเพราะในพวกไทยยวนทั่วไปจะมีการนับถือผีปู่ย่าแต่มีผู้สังเกตว่ากลุ่มคนที่นับถือผีมดอาจมีบรรพบุรุษสืบเชื้อสายมาจากพวกลัวะก็เป็นได้อย่างไรก็ตามการนับถือผีมดน่าจะตกทอดเป็นวัฒนธรรมของชาวล้านนาหรือไทยยวนมาเป็นเวลานานแล้วความหมายของผีมดนั้นมีผู้ให้คำอธิบายไว้หลายประการ ประการแรกกล่าวว่ามีคำเล่าเป็นนิทานที่อธิบายถึงการเกิดลัทธิผีมดขึ้นเนื่องมากจากความเชื่อในการส่งวิญญาณของผู้สูงอายุไปเสวยสุขเมืองพรหม โดยให้ลูกหลานฆ่ากินเลือดเนื้อเพื่อจะได้เกิดความเป็นมงคลชีวิตซึ่งในการที่จะส่งวิญญาณให้ผู้ใดนั้น จะทำการเสี่ยงทายโดยใช้เนื้อหมูของแต่ละคนวางให้มดกินเพราะเชื่อว่ามดเป็นสัตว์ประเสริฐมีหูทิพย์ ตาทิพย์ จมูกทิพย์ หากมดมาตอมเนื้อหมูของผู้ใดลูกหลานก็จะพร้อมใจกันฆ่าส่งวิญญาณไปสู่พรหม ต่อมาลัทธิบูชาผีมดก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นการบวงสรวงวิญญาณบรรพบุรุษดังเช่นทุกวันนี้อีกประการหนึ่งอธิบายว่า ผีมด หมายถึงผีของมดที่ชอบอยู่ตามบ้านเรือนคอยเฝ้ารักษาให้บ้านเรือนอยู่เป็นปกติสุขมีความอบอุ่นในเหมือนกับบ้านเมืองที่มีผีเสื้อบ้านยักษ์ผีเสื้อบ้านเมืองคอยปกปักรักษาอยู่ดังนั้นถ้าตระกูลไหนจะมีพิธีการฟ้อนผีมด ชาวบ้านที่อยากได้เงินก็จะนำมดมาขายเป็นรังๆบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็จะซื้อนำมาไว้ในบ้านของตน ประการสุดท้ายเล่าว่าผีมดนั้นเป็นความเชื่อดั้งเดิมของไทย เพราะปรากฏว่ามีอยู่ในกลุ่มชาวไทดำและไทลื้อหลายแห่ง ซึ่งคำว่า มด นั้นในภาษาไทยเดิมหมายความได้ 2 นัย คือต้นตระกูล ดังสำนวนว่า แม่มดแม่หม่อน ซึ่งแปลว่าทวด และในอีกความหมายหนึ่งแปลว่า ผู้รู้ เช่นในสำนวนที่ว่า มดหมอ เป็นต้นการฟ้อนผีนั้นเป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณเชื่อกันว่าการฟ้อนผีเป็นการเซ่นดวงวิญญานบรรพบุรุษที่ได้ช่วยปกป้องคุ้มครองรักษาให้ลูกหลานได้อยู่อย่างผาสุข และเป็นการเชิญวิญญาณของบรรพชนให้มาร่วมกิจกรรมเพื่อให้เกิดความสามัคคีขึ้นในกลุ่มคนที่นับถือผีเดียวกันสันนิษฐานว่าการฟ้อนผีนั้นจะได้รับมาจากประเพณีของชาติมอญหรือเม็ง ดังเช่นประเพณีการฟ้อนผีเม็งซึ่งต่อมาชาวล้านนาได้รับมาใช้ในพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีมดด้วยการเลี้ยงผีมดก็มีวัตถุประสงค์และแบบแผนคล้ายคลึงกับการเลี้ยงผีปู่ย่า แต่มีพิธีกรรมที่แตกต่างกันออกไปที่เด่นชัดได้แก่ มีการฟ้อนรำและการละเล่นที่สนุกสนาน ตัวอย่างเช่น การฟ้อนดาบ การฟ้อนเจิง หรือการตบมะผาบซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการการแสดงศิลปะพื้นบ้านล้านนาที่ทรงไปด้วยคุณค่าและแสดงถึงในความสามารถในเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวล้านนาสำหรับเครื่องเซ่นสังเวยมี กระบือชำแหละ 1 ตัว หมู 4 ตัว ไก่ต้ม 16 ตัว ไข่ 32 ฟอง ลาบเมือง 1 หม้อแกงอ่อม 1 หม้อ เนื้อย่าง 5 กก. เทียนพรรษา 1 เล่ม ไส้อั่ว เหล้าแดง เหล้าขาว น้ำเขียว น้ำแดง มะพร้าวสด ข้าวสุก ขนมหวาน กรวยดอกไม้ 1,000 กรวย ข้าวตอกควักใบตอง (คือการนำใบตองมาทำเป็นรูปทรงต่าง ๆ เพื่อใส่อาหารของทางภาคเหนือ) 250 ชิ้น ขันตั้งหลวงไหว้ผี 1 ขันใส่เครื่อง 1,000 หมายถึง ผ้าขาว-ผ้าแดง 108 คืบหมากสายใหญ่ 1,000 สาย กล้วย 1 เครือ มะพร้าว 1 ทะลาย เทียนเงินเทียนทองอย่างละ 1,000 เล่ม สวยดอก 1,000 ชิ้น หมากพลู บุหรี่ 1,000 ชิ้น ขดลวด 108 ขด ธูปเงิน-ธูปทอง 1,000 เล่ม เหล้าขาว 10 ขวด เหล้าแดง 10 ขวด เบี้ย 10,000 ตัว ข้าวสาร 1 กระบุงใหญ่ ข้าวเปลือก 1 กระบุงใหญ่ ข้าวตอก 1 กระบุงใหญ่ น้ำผึ้ง 10 ขวด ใบไม้มงคล 9 ชนิด อย่างละ 108 ใบ หัวเผือกหัวมันอย่างละ 1 กระบุงใหญ่ อาหารคาวหวาน รวมทั้งมีขันตั้ง 12 ขัน ใส่เครื่อง 12 ซึ่งหมายถึง หมากพลู ธูปเทียนอย่างละ 12 ชิ้น โดยเป็นของเจ้าพ่อตนหลวง เจ้าพญาไฮ เจ้าฝนแสนห่า เจ้าบ่าวใหญ่ เจ้าสาว เจ้าฟ้า เจ้าพญาผาเบี้ย เจ้าแสนหมอน เจ้าอารักษ์ เจ้าหมอนแสน เจ้าสร้อยฟ้าลาวัลย์ เจ้าอ้อนแอ้น สำหรับการละเล่นของผี มีการยิงนก และปั๊ดต่อ ปั๊ดแต๋น (เอาไม้ปัดต่อปัดแตนเอารัง) โดยกำลัง (คนที่ช่วยดูแลการฟ้อนผี) แจกธนู หน้าไม้หรือดาบ โดยทุกอย่างทำอย่างจำลอง ให้ผีต่าง ๆ ในผามมีนกกระดาษพับห้อยไว้ มีข้าวแต๋น (ขนมนางเล็ด) คือข้าวเกรียบสมมุติว่าเป็นตัวต่อหรือผึ้ง ผีทั้งหลายที่ประทับร่างทรงก็จะยิงลูกดอก หรือถือดาบไปฟันที่นก ตัวต่อตัวแตน โดยมีคนเข้าไปคอยเก็บนกหรือตัวต่อตัวแตนที่ผียิง หรือฟันได้, การคล้องช้าง โดยกำลังจะนำรูปสลักรูปช้าง รูปม้า เข้ามาในผามผีจะใช้ผ้าที่คล้องคอประจำตัว ไล่คล้องช้าง ม้าจากกำลัง ผู้ที่อยู่โดยรอบจะคอยส่งเสียงเชียร์ให้ฝ่ายผีปู่ย่าชนะ ในที่สุดฝ่ายกำลังต้องยอมแพ้ อันเป็นสัญลักษณ์ว่าผีปู่ย่าสามารถทำให้เกิดความงอกงามด้านสัตว์ใช้งาน, การชนไก่ เป็นการละเล่นระหว่างผีปู่ย่าในร่างทรงกับกำลัง โดยกำลังจะถือไก่จริง ๆ ส่วนผีปู่ย่าถือไก่ที่ทำด้วยผ้ามัดเป็นปมให้ดูคล้ายหัวไก่ ขณะที่ไก่จริงกับไก่ปลอมชนกันนั้นบรรดาลูกหลานจะเชียร์และโปรยข้าวสาร ดนตรีจะทำเพลงที่เร้าใจ เมื่อชนไก่ได้ซักพักหนึ่ง ไก่ของผีปู่ย่าก็จะชนะ และฟ้อนดาบเป็นการรำเพื่อบูชาครูของผีปู่ย่ากำลังจะ แจก ดาบจำลองหรือดาบจริงเพื่อฟ้อนรำอย่างสวยงามประกอบดนตรีที่เล่นอยู่ เมื่อเสร็จการละเล่น ต่าง ๆ แล้วผีก็จะค่อย ๆ ทยอยกันออกจากร่างทรง ปัจจุบันสังคมหรือวิถีชีวิตของ ผู้คนทางแถบภาคเหนือตอนบนนับได้ว่าเปลี่ยนไปมากจาก อดีตแต่ยังมีหลายประเพณีและหลากหลายวัฒนธรรมที่ยังคงหลง เหลืออยู่ หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาไว้ให้ลูกหลานหรือคนรุ่นหลังได้ศึกษาตลอดจนเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตซึ่งแน่นอนมันเป็นความเชื่อของกลุ่มชนที่ไม่อาจบังคับให้ใครเชื่อตามได้แต่ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษของเราที่วางกรอบแนวคิดไว้ล้วนเป็นประโยชน์แทบทั้งสิ้นอย่างน้อยประเพณีนี้ก็ช่วยให้เรามิลืมบรรพบุรุษที่ให้กำเนิดเรามาครับ.

ผีสิง

"โรงพยาบาลผีสิง "หลอกหลอนผู้คนจนร่ำลือทั้งระยองขนลุกกันทั้งเมือง "โรงพยาบาลผีสิง " หลอกหลอนผู้คนจนร่ำลือทั้งระยอง เป็นดรงพยาบาลเก่าที่หยุดกิจการปล่อยให้ร้างมา 3-4 ปี ทิ้งตู้ยา เตียงคนไข้ไว้เกลื่อน ประตูหน้าต่างแตก ผู้คนที่ผ่านไปมาบางคนเห็นรถพยาบาลวิ่งเข้าวิ่งออก เห็นคนเข็นเตียงคนไข้เดินไปมา ได้ยินเสียงคนร้องไห้โหยหวน ทั้งๆที่ตึกทั้งตึกไม่มีใครอยู่ รถร้างมียาขึ้นเต็มไปหมด จนไม่มีใครกล้าผ่าน ขญะเดียวกันก็มีคนเข้าไปพิสูจน์เป็นระยะๆ แต่ก็ต้องวิ่งหน้าตื่นตัวสั่นออกมาแทบทุกคน หลายคนบอกถูกตบหัวเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวบ้านร่ำลือไปเที่ยวเมืองระยองว่า มีผีอาละวาดเที่ยวตามหลอกหลอนผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาจนหวากผวาไปตามๆกัน ที่โรงพยาบาลร้างแห่งหนึ่ง ชื่อโรงพยาบาลเอกชน ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ต.เชิงเนิน อ. เมือง ระยอง ริมถนนสาย 36 โดยเสียงร่ำลือของชาวบ้านบอกว่าเห็นผีเข็นรถคนไข้ไปมาภายในโรงพยาบาล และมีเสียงร้องโหยหวนชวนให้ขนลุกขนพองอย่างยิ่ง จนไม่มีใครกล้าเดินผ่านเส้นทางดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนห้องดับจิตและโรงอาหารอยู่ในสภาพเก่าจากการตรวจสอบยริเวณดังกล่าวพบว่า มีเนื่อที่ประมาณ 50 ไร่ ด้านหน้าเป็นอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ติดถนนสาย 36 ของโครงการระยองคอมเพล็กซ์ ด้านหลังโครงการมีพื้นที่โล่งเนื่องจากโครงการหยุดซะงัก ห่างจากถนนอกไปประมาณ 1 ก.ม. พบตึก 4 ชั้นขนาดใหญ่ ด้านหน้าเขียนข้อความว่า " โรงพยาบาลเอกชน ศูนย์บริการ 24 ชม."มีหญ้ารกปกคลุม สภาพเก่าตัวอาคารมีสีแดง ชั้นล่างเป็นห้องฉุกเฉินที่ยังมีป้ายติดอยู่ ชั้นสองเป็นห้อมคอมพิวเตอร์และห้องผู้ป่วย ส่วนชั้นล่างมุมขวาเป็นห้องดับจิตและโรงอาหาร ทั้งหมดอยู่ในสภาพเก่านอกจากนี้ตามห้องต่างๆยังมีเตียงคนไข้เก่าๆ เรียงรายกระจักกระจายเต็มไปหมด หน้าต่างทุกบานกระจกแตกไม่อยู่ในสภาพใช้งานได้ เมื่อมองสังเกตุเข้าไปด้านในมีรอยคล้ายรอยเลือด 2 กองติดอยู่หน้าพื้นผนังหน้าห้องฉุกเฉินส่วนห้องดับจิตก็ยังมีตะแกรงวางศพปรากฏให้เห็น ขณะที่ห้องเย็นสำหรับเก็บศพอยู่ติดกับโรงอาหารชั้นล่าง มีสภาพเก่าๆทึ่มๆ สร้างความวิเวกวังเวงอย่างยิ่ง โดยเฉพราะเวลามีสายลมอ่อนๆพัดผ่านมาเหตุใดโรงพยาบาลต้องหยุดกิจการนายสุชาติ พฤษศานิตย์ อายุ 40 ปี คนงานที่เฝ้าสถานที่ดังกล่าวเปิดเผยว่า เดิมโรงพยาบาลแห่งนี้ชื่อโรงพยาบาลเอกชน ก่อนจะหยุดกิจการไป อีกประมาณ 1 ปีต่อมากลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งชื่อโรงพยาบาลสุนทรภู่ แต่ละวันมีคนไข้เข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมากจนกลายเป็นโรงพยาบาลชื่อดังของ จังหวัด แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดโรงพยาบาลต้องหยุดกิจการอีกครั้ง และปิดยาวกลายเป็นอาคารร้างมาประมาณ 3-4 ปีแล้ว ส่วนตนได้รับว่าจ้างจากบริษัทแห่งหนึ่งที่ซื้อตึกนี้ให้ดูแลคอยถางหญ้าถาง ป่าไม่ให้รกรุงรังแต่ละวันจะมีคนเข้ามาพิสูจน์ผีเป็นระยะๆ และก็ต้องวิ่งเผ่นหนีออกมาแทบทุกคนนายสุชาติกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีคนมาบอกว่าที่นี่ผีดุ และโดนหลอกเป็นประจำ แต่ระวันจะมีคนเข้ามาพิสูจน์ผีเป็นระยะๆ และก็ต้องวิ่งเผ่นหนีออกมาแทบทุกคน ล่าสุดมีนักเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่งเข้ามาพิสูจน์ความจริง และก็ต้องวิ่งตาตื่นตัวสั่นออกบอกกับตนว่าถูก ตบบหัว"มีชาวบ้านเห็นคนเข็นรถเข็นคนไข้เข้าๆออกๆ เป้นประจำเหมือนปกติ แต่พอมองดูช้าๆ ชัดๆ ก็กลายเป็นป่าไม้ บางทีก็มองไม่เห็นอะไรเลย บางทีก็มีรถพยาบาลวิ่งเข้าไปข้างใน มีเสียงคนไข้ร้องโหยหวน แต่ผมไม่เคยเจอกับตาเสียที " ผู้ดูแลโรงพยาบาลผีสิงกล่าว*สาเหตุที่ทำให้โรงพยาบาลต้องหยุดกิจการปล่อยให้รกร้างมานาน เนื่องจากมีปัญหาถูกร้องเรียนเรื่องขาดแคลนแพทย์และการให้บริการ**เรื่องที่เกี่ยวข้องโรงพยาบาลผีสิงที่ระยองกำลังเป็นข่าวดังสุดๆ ถึงกับมีคนอยากไปลองของ ท้าพิสูจน์กันมากมาย เพื่อให้เห็นดำเห็นแดงว่ามีผีสิงจริงหรือเปล่า? ถ้ามีจริงจะปรากฏกายให้เห็นหรือไม่? ผู้คนหลั่งไหลเข้าไปดูคืนละเป็นร้อยๆ จนคนเฝ้าต้องเก็บเงินค่าผ่านประตูหัวละ 10 บาท คนอยากรู้อยากเห็นก็ยินยอมจ่ายให้โดยดี พอเห็นเข้าก็สติแตก ร้องไห้โฮก็มี วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงก็มี อาการหนักกว่าเพื่อนถึงกับสลบค่าที่ เมื่อช่วยกันแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้ก็รีบกลับไปจุดธูปขอขมาว่าไม่ได้เจตนาลบหลู่อะไรหรอก เจ้าประคุณเอ๋ย...นอกจากอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นแหละ ข่าวสดลงข่าวอื้อฉาว พี่ป๋องออกรายการทางวิทยุ ทีวียกกองไปตั้งกล้องถ่าย ผู้คนสนใจแห่กันมาดูคับคั่ง พ่อค้าแม่ขายหลายเจ้าก็พลอยขายดิบขายดีไปตามๆ กัน เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ อยู่กลางซอยราชครู สนามเป้าเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมานี่เอง เข้าซอยไปราว 100 เมตรเศษ อยู่ทางซ้ายมือ ด้านหน้ามีรั้วและสนามหน้าตึกสามชั้น รับตรวจรักษาโรคต่างๆ เหมือนโรงพยาบาลทั่วไป คนไข้ก็เข้าออกกันหนาตา รวมทั้งญาติมิตรที่ไปเยี่ยมคนป่วยต้องนอนโรงพยาบาล จู่ๆ โรงพยาบาลนี้ก็เลิกกิจการไปโดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุแน่ชัด ลือกันว่าขาดทุนบ้าง ขาดแพทย์และพยาบาลบ้าง เจ้าที่แรงบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือ กลายเป็นโรงพยาบาลร้าง ประตูรั้วปิดตาย ไม่ช้าก็มีเถาไม้เลื้อยพันขึ้นมารกรุงรัง ยามค่ำคืนคนที่ผ่านไปมามองเห็นตึกร้าง มีแต่ความทึบทึมเปล่าเปลี่ยว นอกจากจะเกิดความวังเวงใจแล้วยังรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบไปตามๆ กัน คนแถวนั้นที่ผ่านไปมาตอนกลางคืน เล่าว่าได้ยินเสียงผู้หญิงร้องครวญครางโหยหวนน่าขนลุกดังมาจากตึกชั้นบน อาหมู - คนรับเหมาก่อสร้างเดินกลับบ้านมาพร้อมกับเมียชื่อเจ๊แดง บอกว่าได้ยินเสียงเด็กร้องไห้เยือกเย็นมาจากตึกร้าง พอหันไปมองอย่างลืมตัวก็เห็นผู้หญิงยืนอุ้มลูกอยู่ที่หน้าต่างชั้น 2 เล่นเอาวิ่งแข่งกันเป็นลมพัด...เจ๊แดงจับไข้อยู่หลายวัน สบถสาบานว่าจะไม่ยอมเดินผ่านโรงพยาบาลผีสิงตอนกลางคืนอีกต่อไป น้าวีระ - เซลส์แมนสบถสาบานว่า ขนาดนั่งตุ๊กตุ๊ก เข้าซอยมาแท้ๆ ยังเห็นรถเข็นคนไข้เปล่าๆ แล่นไปมาอยู่หน้าตึกร้าง ไม่มีทั้งคนนั่งและคนเข็น หมาเจ้ากรรมก็โก่งคอหอนโหยหวนขึ้นทั้งซอย คนขับตุ๊กตุ๊กคงจะเห็นเหมือนกันเลยห้อตะบึงจนเลยทางเข้าบ้าน น้าวีระสั่งจอด พอโดดลงมาคนขับก็บึ่งรถไปโดยไม่แยแสค่าโดยสาร...ขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน ป้าณี - แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวที่ก้นซอยอารีสัมพันธ์ 1 เล่าว่า ออกไปซื้อของที่ตลาดสะพานควายตอนเช้ามืด พอเดินผ่านโรงพยาบาลร้างที่ตั้งตะคุ่มอยู่ในความมืดสลัว หันไปมองโดยไม่ตั้งใจก็เห็นไฟสว่างพรึ่บบนชั้น 2 กับชั้น 3 ที่เป็นห้องพักคนไข้ รวดเดียว ป้าณีวิ่งไม่คิดชีวิตไปถึงถนนใหญ่...ตั้งแต่นั้นมาจะไม่ยอมออกไปซื้อของก่อนสว่างเป็นอันขาด "น้าอ้วน" อยู่ใกล้ๆ บ้านป้าณี เป็นสาวโสดฐานะดี มีอาชีพออกเงินกู้ อยู่กับแม่ที่ชรามากแล้ว เจอฤทธิ์เดชของปีศาจโรงพยาบาลร้างรุนแรงยิ่งกว่าทุกคน ขนาดเอาชีวิตเป็นเครื่องสังเวย! วันนั้น น้าอ้วนไปเก็บดอกเบี้ยไปถึงซอยอารี ซอยสีฟ้า ลูกหนี้ชวนไปดื่มเบียร์ฟังเพลงที่คาเฟ่หน้าโรงหนังนิวยอร์ก...ติดลมจนเกือบสองยาม ถึงได้เดินเซนิดๆ มาขึ้นแท็กซี่แยกกันกลับบ้าน แทนที่จะเข้าซอยอารี เลี้ยวซ้ายผ่านโรงแรมมายเฮ้าส์ไปอารีสัมพันธ์ 1 จะได้ไม่ผ่านดงผีดุ แต่กลับเลยไปเข้าทางซอยราชครูจนได้ ท่ามกลางบรรยากาศเยือกเย็นชวนให้วังเวงใจ แท็กซี่เจ้ากรรมคันนั้นเกิดเบรกเอี๊ยดที่หน้าประตูรั้วสนิมเขรอะดื้อๆ เล่นเอาน้าอ้วนแทบสร่างเมา ชะโงกหน้าเข้าไปถามว่าจอดที่นี่ทำไม? คำตอบเล่นเอาขนหัวลุกพรึ่บทันที "ก็รถพยาบาลเขาจะเลี้ยวเข้าไป พี่ไม่เห็นรึ?" "รถผีสิงน่ะซี..." น้าอ้วนหลุดปากได้แค่นั้นก็ลิ้นแข็ง เบิกตาโพลงบัดดล นรกเป็นพยาน! รถตู้สีขาวคันหนึ่งกำลังเลี้ยวช้าๆ ผ่านหน้ารถแท็กซี่ แล่นทะลุประตูเหล็กที่มีไม้เลื้อยรุงรังเข้าไปในโรงพยาบาลร้าง...ก่อนจะจางหายไปต่อหน้าต่อตา น้าอ้วนร้องด่าอย่างลืมตัว รู้สึกเหมือนมีความมืดสาดพรึ่บเข้ามาเต็มหน้า แท็กซี่ร้องเฮ้ย! เข้าเกียร์ออกรถมือไม้สั่น ขับพรวดพราดไปจอดหน้าซอย บอกว่าไม่ยอมเข้าไปเด็ดขาด เดี๋ยวจะบึ่งตรงไปออกทางคลองประปา น้าอ้วนจะอ้อนวอนเท่าไหร่ก็ไร้ผล เดินร้องไห้ซมซานมาถึงบ้านก็เป็นลมไป รุ่งขึ้นเพื่อนบ้านได้ข่าวก็ไปเยี่ยม น้าอ้วนเล่าเรื่องขนหัวลุกให้ฟังกระท่อนกระแท่น เดี๋ยวหัวเราะร่วน เดี๋ยวก็ร้องไห้โหยหวนเยือกเย็นไปถึงหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน อีกราว 3-4 วันต่อมา น้าอ้วนก็ผูกคอตายในห้องน้ำชั้นล่าง ไม่มีใครทราบสาเหตุแท้จริงว่าเป็นเพราะอะไรแน่...แต่ก็ลือกันว่าโดนวิญญาณร้ายมาเอาชีวิตเพราะปาก

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โรงเรียนเทศบาล ๑ ทรงพลวิทยา











โรงเรียนเทศบาล1ทรงพลวิทยาเป็นโรงเรียนที่ผมเรียนอยู่ ผมชอบโรงเรียนนี้มากเพราะคุณครูทุกคนใจดีมาก โรงเรียนมีกิจกรรมมากมายไห้ทำ ถึงโรงเรียนจะเล็กไป แต่ผมก็ขอบ ผมมีเพื่อนมากมายที่โรงเรียนนี้ เพื่อนเเต่ละคนก็ แสนจะดี ดีไปหมด โรงเรียนนี้มีคุณครูหลายคน แต่ละคนสวยทั้งนั้นเลย และก้หล่อด้วย โดยเฉพาะคุณครูบอยโหดสุดๆๆ ถ้าครูบอยได้ตครูบอยตีไม่ยั้ง ครูบอยสอนวิชาพลศึกษา และเขาก็สอนเด้กเล่นกีฬาเซปะตะกร้อ ครูบอยพาเด็กไปแข่งขันหลายรายการเคยชนะได้ที่1 หลายครั้ง ผมชอบเรียนวิชาคอมพิวเตอร์มากเพาระผมชอบเล่นเน็ตมาก.. โรงเรียนนี้อยู่ติดกับโรงเรียนบ้านโป่งอิน อยู่ ต.บ้านโป่งอ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี หน้าโรงเรียนทุกวันตอนเช้ามีของขาย และ ของกินมากมาย ส่วนผมชอบกินข้าวร้านป่าอ้อมาก เพราะทำข้าวแกงอร่อยและยังเป็นร้านเพื่อนผม ผมชอบกินพัดกระเพาไข่ดาว พอตอน เย็นจะมีของมาขายเหมือนตอนเช้า ตอนเย็นผมชอบกินก๋วยเตี๋ยว ผมชื่อนาย ชัชวาล พระนัสเรียนอยู่ชั้นม. 3/3 ...

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

ถ้าทุกคนได้อ่านเว็บบ๊อกของ ทุกคน จะรู้ ว่า ผมเป็นคน รักเพื่อนมากกว่าผู้หญิง ๆ (หลอก)